วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556

กฎหมายเกี่ยวกับE-Commerce


กฎหมายเกี่ยวกับ E-commerce
              ปัจจุบันนี้คงต้องยอมรับว่าธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) เข้ามามีบทบาทต่อการประกอบธุรกิจของ เราๆ ท่านๆ เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจแบบ B to B (Business to Business) B to C (Business to Consumer) C to C (Consumer to Consumer ) โดยเฉพาะ ธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการขนาดกลาง (SME) ซึ่งจะสังเกตเห็นได้ว่าจำนวนเว็บไซต์ที่ทำการค้าขายบนอินเทอร์เน็ตในปัจจุบันทั่วโลกนี้มีมากกว่า 1 ล้าน เว็บไซต์ปัญหาที่ค้างคาใจเว็บมาสเตอร์ผู้ประกอบการทั่วไปหรือผู้ที่ใช้อินเทอร์เน็ตและกำลังคิดจะทำธุรกิจ E-Commerce อย่างไรไม่ให้ผิดกฎหมาย    ชื่อเว็บไซต์ หรือชื่อโดเมนเนม (Domain Name) เมื่อท่านผู้ประกอบการทั่วไปจะประกอบ กิจการ E-commerce ไม่ว่าจะเป็น B to B หรือ B to C หรือ C to C สิ่งที่ขาดไม่ได้คือตัวตนของร้าน หรือ สถานประกอบการของท่าน บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ใช้จำหน่ายสินค้า หรือให้บริการ ซึ่งหากจะให้คน จำร้านเราได้แน่นอน ต้องมีชื่อเสียงเรียกขาน เป็นที่น่าสนใจให้กับเว็บไซต์นั้น เพื่อให้คนทั่วไปหรือนัก ท่องอินเทอร์เน็ตรู้จัก ซึ่งในทางเทคนิค เราเรียกชื่อของเว็บไซต์เหล่านี้ว่า "ชื่อโดเมน" (Domain Nameจริงๆ แล้วชื่อโดเมนนั้น ก็คือระบบการแปลที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตจากข้อมูลทางเทคนิคในระบบ ดิจิทัล (001100) มาแปลงเป็นระบบภาษาคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่าระบบ DNS System ขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ แปลงตัวเลขดิจิทอลมาเป็นตัวอักษรโรมัน ซึ่งเป็นภาษามนุษย์ที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตเพื่อง่ายแก่การจดจำแค่ นั้นเอง มาถึงจุดนี้ทุกท่านคงเริ่มรู้จักชื่อโดเมน หรือชื่อเว็บไซต์กันแล้วซึ่งปัญหาในกฎหมายที่เกิดขึ้นก็คือ ว่าโดยส่วนใหญ่ เมื่อคนทั่วไปนิยมจดจำชื่อโดเมนเป็นตัวอักษรแล้ว ก็มีบุคคลบางกลุ่มที่คิดหากำไรทางลัด โดยนำเอาชื่อทางการค้า หรือ เครื่องหมาย การค้าที่มีชื่อเสียงมาจดเป็นชื่อโดเมนโดยเจ้าของไม่ได้อนุญาต หรืออาจจะจดไว้เพื่อขายให้เจ้าของชื่อทางการค้า หรือเครื่องหมายการค้าที่แท้จริง
ตัวอย่างเช่น กรณีเมื่อ
4-5 ปีที่แล้ว มีชาวแคนาดาคนหนึ่งจดชื่อโดเมนคำว่า "amazingthailand.com" และนำมาเสนอ ขายแก่รัฐบาลไทยเป็น จำนวนเงินหลายสิบล้านบาท หรือกรณีที่มีชาวต่างประเทศรายหนึ่ง นำเอาชื่อดาราหนังฮอลลีวู้ดไปจดทะเบียนเป็นชื่อโดเมนคำว่า "juliarobert.com" หรือ "madonna.com" พวกที่นิยมนำชื่อเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นไป จดโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น ภาษาของชาว Netizen เราเรียกว่า "พวกCybersquatterปัญหาในทางกฎหมายคือ การกระทำดังกล่าวของพวก Cybersquatter นั้นถือว่าผิดกฎหมายหรือไม่ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง กับเรื่องดังกล่าวคือ

พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 ซึ่งมีรายละเอียดดัง นี้

           มาตรา 108 บุคคลใดปลอมเครื่องหมายการค้า เครื่องหมายบริการ เครื่องหมายรับรอง หรือเครื่องหมาย ร่วมของบุคคล อื่นที่ได้จดทะเบียนแล้วใน ราชอาณาจักรต้องระวางโทษไม่เกินสี่ปีหรือปรับไม่เกินสี่แสน บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
            มาตรา
109 บุคคลใดเลียนเครื่องหมายการค้า เครื่องหมายบริการ เครื่องหมายรับรอง หรือเครื่องหมาย ร่วมของบุคคล อื่นที่ได้จดทะเบียนแล้วในราชอาณาจักร เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นเครื่องหมายการ ค้า เครื่องหมายบริการเครื่องหมายรับรอง หรือเครื่องหมายร่วมของบุคคลอื่นนั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่ เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
            จากหลักการดังกล่าวสรุปง่ายๆ ก็คือหากชื่อทางการค้าเครื่องหมายการค้านั้น จดทะเบียนไว้กับกรม ทรัพย์สินทางปัญญา และท่านนำเอาไปใช้เป็น ชื่อโดเมน ก็อาจมีความผิดตามกฎหมายฉบับดังกล่าวได้ แต่หากชื่อทางการค้าเครื่องหมายการค้า ดังกล่าวแม้ไม่ได้จดทะเบียนการค้าไวกับกรมทรัพย์สินทางปัญญา ก็ตาม การกระทำดังกล่าวหากทำให้คนทั่วไปสับสนหลงผิดว่าเว็บไซต์ของท่านเกี่ยวข้อง หรือเป็นสินค้า หรือ บริการของเจ้าของเครื่องหมายการ ค้าที่แท้จริง การกระทำดังกล่าวก็อาจผิด กฎหมายฐานลวงขาย (
Passing off) ตามประมวลกฎหมายอาญาได้ ซึ่งระบุไว้ว่า
             มาตรา
272 ผู้ใดเอาชื่อ รูป รอยประดิษฐ์ หรือข้อความใดๆ ในการประกอบการค้าของผู้อื่นมาใช้ หรือทำ ให้ปรากฏที่สินค้า หีบ ห่อ วัตถุที่ใช้หุ้มห่อ แจ้งความรายการแสดงราคา จดหมายเกี่ยวกับการค้า หรือสิ่งอื่น ทำนองเดียวกัน เพื่อให้ ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นสินค้า หรือการค้าของผู้อื่น ส่วนของการปรับใช้กฎหมาย และการดำเนินคดีกับ Cybersquatter นั้น ต้องพิจารณาข้อเท็จจริงเป็นกรณีๆ ไป เพราะหากข้อเท็จจริงแตก ต่างกันผลในทางกฎหมายก็ย่อมแตกต่างกันด้วย
            ตัวอย่างเช่น หากการใช้ชื่อในทางการค้า เครื่องหมายการค้านั้น ใช้เป็น
domain name ก็จริง แต่ไม่ ใช่ประโยชน์ในทางการค้าแม้แต่น้อย domain name นั้น ก็อาจเป็นเพียงที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต (Address) ที่ใช้ติดต่อเท่านั้น ซึ่งก็อาจมีข้อ โต้แย้งในทางกฎหมายได้
ดังนั้นทุกท่านที่อยากจะทำธุรกิจบนเว็บไซต์นั้นสิ่งที่ต้องระวังเป็นอันดับแรกก็คือ ชื่อทางการค้าเครื่อง หมายการค้าของผู้อื่นนั้นอย่านำมาใช้เป็นชื่อเว็บไซต์เด็ดขาด
ข้อมูลที่ใช้ (Content) อาจจะกล่าวได้ว่าเว็บไซต์ที่มีอยู่ในอินเทอร์เน็ตทั้งหมดต้องมีการระบุ รายละเอียดไว้บนเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้ใช้บริการ บน อินเทอร์เน็ตโดยทั่วไปเข้ามาใช้บริการ หรือเพื่อรับ ทราบข้อมูลสินค้า และบริการของ บริษัท ซึ่งจะขอแบ่งแยกเว็บไซต์ที่มีอยู่ในอินเทอร์เน็ตที่ให้บริการเกี่ยว กับธุรกิจ E-Commerce เป็นสองประเภท คือ
                 -เว็บไซต์ประเภทขายสินค้า และให้บริการ
                 -เว็บไซต์ประเภทให้บริการข้อมูล
    จากการวิเคราะห์ของนักเศรษฐศาสตร์ในวารสาร Far Eastern Economic Review พบว่าธุรกิจ เว็บไซต์ประเภทที่น่าจะ ให้กำไรตอบแทนสูงสุด คือเว็บไซต์ต่างประเทศที่ให้บริการค้นข้อมูล (Search Engine) ที่เรารู้จักกันดี ได้แก่ เว็บไซต์ yahoo.com เว็บไซต์ google.com หรือเว็บไซต์ altavisa.com แต่หากพูดถึงเว็บไซต์ยอดนิยมของคนไทยที่ใช้ค้นข้อมูลก็คง หนีไม่พ้นเว็บไซต์ sanook.com เว็บไซต์ catcha.co.th ฯลฯ เว็บไซต์ที่ใช้ รวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ มารวมกันนี้ ภาษา ชาว Netizen เรียกว่า "Portal Website" หรือ "เว็บไซต์ท่า"  ดังนั้นสิ่งที่เว็บมาสเตอร์ หรือเจ้าของเว็บไซต์มักจะมีปัญหาบ่อยที่สุด ก็คือข้อมูลประเภทใดบ้าง สามารถ  นำมาใช้ใน เว็บไซต์ได้หลักง่ายๆ ก็คือข้อมูลใดก็ตามหากเป็นข้อมูลที่ไม่มีลิขสิทธิ์ ท่านสามารถนำ มาใช้กับเว็บไซต์ของท่านได้
          ตัวอย่าง ของข้อมูลซึ่งไม่มีลิขสิทธิ์ที่กฎหมายพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 ระบุไว้คือ ข่าวประจำวัน ข้อเท็จจริงต่างๆ ที่มีลักษณะเป็นเพียงข่าวสาร อันมิใช่งานวรรณกรรมคดี วิทยาศาสตร์ หรือศิลปะ รัฐธรรมนูญ กฎหมายข้อดังกล่าวนี้ไม่มีลิขสิทธิ์ จึงสามารถนำมาใช้บนเว็บไซต์ได้ แต่ข้อควรระวังคือหาก เป็นบทบรรณาธิการ หรือข้อวิเคราะห์วิจารณ์ของผู้เขียน คอลัมน์ของหนังสือ หรือสิ่งพิมพ์ต่างๆ ข้อมูลเหล่า นี้อาจมีลิขสิทธิ์จึงไม่ควรนำมาใช้บน เว็บไซต์ แต่หากนำมาใช้บนเว็บไซต์ แต่หากจำเป็นควรขออนุญาต จากเจ้าของลิขสิทธิ์ให้ถูกต้องพร้อมอ้างอิงถึงแหล่งที่มาของข้อมูลด้วย  การติดต่อเชื่อมโยง (Hyper link) การทำ Link สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งในการทำเว็บไซต์ที่ ขาดไม่ได้คือ การทำ เว็บไซต์ต้องมีการติดต่อเชื่อมโยงกับเว็บไซต์ เพื่อโฆษณา หรือแลกเปลี่ยนข้อมูล ระหว่างกัน หากเว็บไซต์ใดมีการเชื่อม ต่อ (Link) ข้อมูลมากเท่าไหร่ คนก็นิยมใช้กันมากขึ้น ข้อควรระวังในการทำ Link ไม่ว่าจะเป็นแบบ Hiperlink Framming หรือ Metatag คือหากงานทำ Link นั้นมีลิขสิทธิ์ท่านได้ ขออนุญาต ใช้ลิขสิทธิ์จาก เจ้าของงานแล้วหรือไม่ ซึ่งหากคำตอบคือ "ไม่" การนำเอา งานลิขสิทธิ์ของผู้อื่นมาดาวน์โหลดใน เว็บไซต์ของท่าน อาจถือว่าเป็นการทำซ้ำ หรือเผยแพร่งานลิขสิทธิ์ของ ผู้อื่นตามพระราชบัญญัตลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ได้
มาตรา 4
       "ทำซ้ำ" หมายความรวมถึงคัดลอกไม่ว่าโดยวิธีใดๆ เลียนแบบ ทำสำเนา ทำแม่พิมพ์ บันทึกเสียงและ ภาพจากต้นฉบับ จากสำเนา หรือการโฆษณา ในส่วนอันเป็นสาระสำคัญ ทังนี้ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน สำหรับในส่วนที่เกี่ยวกับโปรแกรม คอมพิวเตอร์ ให้ความหมายถึงคัดลอกหรือทำสำเนาโปรแกรม คอมพิวเตอร์จากสื่อบันทึกใดๆ ไม่ว่าด้วยวิธีใดๆ ในส่วนอันเป็นสาระสำคัญ โดยไม่มีลักษณะเป็นการจัด ทำงานชิ้นใหม่ทั้งนี้ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน "เผยแพร่ต่อสาธารณชน" หมายความว่า ทำให้ปรากฏต่อสาธารณชนโดยการแสดง บรรยาย การ สวด การแสดง ทำให้ ปรากฏ ด้วยเสียง หรือภาพ การก่อสร้าง การจำหน่าย หรือโดยวิธีอื่นใดซึ่งงานที่ได้จัด ทำขึ้น
มาตรา 27 การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัตินี้ โดยไม่ได้รับอนุญาต ตามมาตรา 15(5) ให้ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ถ้าได้กระทำดังนี้
          -การทำซ้ำ หรือดัดแปลง
          -เผยแพร่ต่อสาธารณชน
      มาถึงจุดนี้อาจจะมีหลายคนสงสัยว่าถ้าเป็นอย่างที่กล่าวมาข้างต้นจริง ถ้าอย่างนั้นเว็บไซต์ต่างๆ ในปัจจุบันที่มีการทำลิงค์กัน อย่างมากมายนั้นก็ผิดกฎหมายกันหมด คำตอบนั้นอาจจะอยู่ที่ว่างานที่นำมาใช้ ลิงค์นั้นอาจจะไม่มีลิขสิทธิ์ก็เป็นได้ แต่ถ้าหากเป็นงานที่มีลิขสิทธิ์การจะละเมิดลิขสิทธ์หรือไม่นั้นิ์ขึ้นอยู่กับ ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทบถึงสิทธิของเจ้าของลิขสิทธิ์ หรือไม่ แต่ถ้าหากเป็นการทำ Hyperlink โดยเชื่อมต่อไปยังหน้าโฮมเพจของบุคคลอื่นโดยตรง แต่ไม่ได้ทำเพื่อแสวงหากำไร และมีการแสดงที่มา ของข้อมูล การทำลิงค์ดังกล่าวก็ไม่ถือว่าผิดกฎหมายลิขสิทธิ์ เนื่องจากว่าการทำ Hyperlink ดังกล่าว เมื่อ พิจารณาในทางเทคนิคเว็บไซต์ที่ทำ Hyperlink ชี้ไปยังเว็บไซต์อื่นนั้นจะกระทำได้โดยไม่มีการนำงาน ลิขสิทธิ์ของผู้อื่นมาไว้ในคอมพิวเตอร์ Server ของเว็บไซต์ที่เชื่อมโยงเว็บไซต์ดังกล่าวเป็นแต่เพียงตัวกลาง (conveyor) ในการเชื่อมต่อไปยัง เว็บไซต์ที่อ้างอิงเท่านั้น ในต่างประเทศระเบียบปฏิบัติที่ทำเป็นมาตรฐาน คือเว็บไซต์ที่เชื่อมโยงข้อมูลจำนวนมากมักทำสัญญา ขออนุญาตให้ใช้ ข้อมูลกันเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อแก้ไขปัญหาในเรื่องหลักฐานการฟ้องร้องในภายหลัง Term & Condition หรือข้อกำหนดและเงื่อนไขในการประกอบกิจการเว็บไซต์ เนื่องจาก ในการซื้อขายสินค้าบนอินเทอร์เน็ตนั้นมีคนที่มีเชื้อชาติมากมายหลายภาษา สัญชาติต่างกัน กฎหมายก็ต่าง กัน ดังนั้นผู้ประกอบกิจการ E-commerce จึงควรกำหนดกฎกติกาในการซื้อขาย หรือให้บริการที่เป็นกลาง สำหรับผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ต และเพื่อประโยชน์ในทางการค้าของท่านเอง โดยใน Term & Condition ดังกล่าวควรกำหนดข้อจำกัดความรับผิดชอบในเรื่องความชำรุดบกพร่องของสินค้าหรือบริการ (Limitation of liability) กฎหมายข้อบังคับใช้ (Governing Law) ซึ่งควรเป็นกฎหมายไทย และข้อกำหนดอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ควรเพิ่มข้อปฏิเสธความรับผิดที่เรียกว่า "Disclaimer" เข้าไปในเว็บไซต์ โดยรายละเอียด ของ Disclaimer ส่วนใหญ่ควรระบุเกี่ยวกับการยกเว้นความรับผิด หรือความเสียหายที่เกิดจากความผิด พลาดของคอมพิวเตอร์ การกระทำ ของแฮคเกอร์ หรือไวรัสคอมพิวเตอร์ต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาข้อพิพาททาง กฎหมายในภายหลัง และอีกสิ่งหนึ่งที่เว็บไซต์ทั่วไป ควรระบุไว้คือ "Privacy Policy หรือนโยบายคุ้มครองข้อ มูลส่วนบุคคล" ซึ่งจะระบุรายละเอียดเกี่ยวกับนโยบายในการคุ้มครองของข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้บริการ ของเว็บไซต์ว่าเว็บไซต์ของท่านใช้ระบบรักษาความปลอดภัยแบบใด SSL (Secure Socket Layer) หรือSET แล้วแต่กรณี เพื่อให้ผู้ใช้บริการหรือสมาชิกเว็บไซต์ของท่านมั่นใจได้ว่าข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าท่านจะได้รับการคุ้มครอง

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเว็บไซต์ : เนื้อหาน้อยเกินไป ไม่มีรูปภาพประกอบ เนื้อหาอ่านแล้วเข้าใจยาก ตัวหนังควรจะเป็นสีดำจะมองหรืออ่านเข้าใจกว่านี้ เป็นเว็บไซต์ที่ค้นหาง่า

วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555

WEB SITE PROMOTION


การโปรโมทสินค้าหรือการลงโฆษณาผลิตภัณฑ์ในระบบออนไลน์
แบ่งออกได้ 2ประเภท คือ ประเภทเสียเงิน และแบบไม่เสียเงิน
  1.แบบเสียเงิน ก็ได้แก่ การนำผลิตภัณฑ์ของตนไปลงโฆษณาตามสื่อต่างๆ เช่น เว็บไซด์ต่างๆ มีทั้งแบบเหมาจ่ายและแบบจ่ายตามยอดการคลิกเข้าชม(pay per click) การโฆษณาแบบ pay per click อัตราค่าโฆษณาหรือค่าคลิกต่อครั้งจะเป็นในลักษณะการเสนอราคาเทียบกับความต้องการของผู้โฆษณารายอื่นๆ มีตั้งแต่ครั้งละ3-10บาทต่อคลิก  การโฆษณาแบบเหมาจ่าย เว็บที่ได้รับความนิยมสูงมีผู้เข้าชมมากหรือ มีผู้ใช้บริการมาก อัตราค่าโฆษณาก็ย่อมจะแพงกว่าเว็บไซด์ที่มีผู้เข้าชมน้อยกว่า   ส่วนจะเลือกใช้บริการของกลุ่มใด รูปแบบใด เจ้าของผลิตภัณฑ์ก็ต้องวิเคราะห์ก่อนว่าเว็บไซด์กลุ่มใดเหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ของตน เช่นเว็บไซด์ในกลุ่ม Social media ที่กำลังหวือหวาคือ เว็บของ facebook ซึ่งการเลือกกลุ่มเป้าหมายสามารถเจาะลงไปได้ถึงวัยของผู้เข้าชม ซึ่งเว็บทั่วๆไป หรือแม้แต่เว็บของ google ก็ยังไม่สามารถทำได้ หรือ จะเลือกแบบเหมาจ่ายรายเดือนรายปีที่มีให้เห็นอยู่หน้าเว็บทั่วๆไป  แต่หากพิจารณาแล้วว่า การเสียเงินโฆษณาไม่คุ้มหรือยังไม่พร้อมที่จะเสียเงินก็ต้องเลือกอีกวิธี
  ตัวอย่าง
   2.การโฆษณาแบบไม่เสียเงิน แน่นอนว่าการหวังผลจะให้เทียบเท่ากับแบบเสียเงินคงเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการโฆษณาแบบฟรีจะไม่ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น โฆษณาฟรีดีๆก็มีไม่น้อยและสามารถเพิ่มยอดขายได้ มาดูกันครับว่าของฟรีแบบไหนดี และเว็บนี้ก็เข้าข่ายเว็บดีที่ฟรี
ตัวอย่าง
 
 
 
                                                                                        

วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

E-COMMERCE ADVERTISING


ข้อดีข้อเสียของ E-Commerce Advertising

ข้อดี

1.เพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคการโฆษณาแข่งขันกันของผู้ผลิต ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น เพราะสินค้าทุกประเภทต่างพัฒนาคุณภาพเพื่อแข่งขันกันอย่างเต็มที

2.สื่อโฆษณาสามารถปรับปรุงได้ตลอดเวลาและประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าสื่อชนิดอื่นๆ

3.การเข้าถึงสื่อได้สะดวกและรวดเร็ว

4.รูปแบบสื่อโฆษณาสามารถใส่ลูกเล่น หรือผสมผสานสื่อชนิดต่างๆ

5.จำนวนของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตมีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงมีโอกาสเป็นไปได้ที่จำนวนผู้บริโภคจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน

6.รูปแบบโฆษณาสามารถใส่ลูกเล่น หรือผสมผสานสื่อชนิดต่าง ๆ เช่น ข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว วิดีโอ และเสียงได้ตามความต้องการ

7.ตัดปัญหาด้านการเดินทาง

ข้อเสีย

1. ค่าใช้จ่ายในการลงทุนค่อนข้างสูงมากในช่วงเริ่มต้น

2.ข้อจำกัดในการนาเสนอสินค้าและข้อมูลที่แสดงอยู่บนป้ายโฆษณา (Banner)

3.ต้องมีการปรับปรุงโฆษณาให้ทันสมัยและเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ

4.ระยะเวลาในการเข้าถึงผู้รับมีระยะเวลาค่อนข้างสั้น

5.การดำเนินการด้านภาษีต้องชัดเจน

นักศึกษาคิดว่าการจัดทำ E-Commerce Advertising ยังมีวิธีการอื่นนอกจากที่เรียนมาหรือไม่ จงหาข้อมูลเพิ่มเติมและสรุป

มี เพราะ การโฆษณาอิเล็กทรอนิกส์ต้องใช้ความทันสมัยของยุคปัจจุบัน และควรพัฒนาค้นคว้าให้ทันสมัยมากขึ้น เพื่อให้ทันกับการโฆษณาของปัจจุบันต้องมีการปรับปรุงโฆษณาให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ทำให้สะดวกสบายเพิ่มมากขึ้น ตามเทคโนโลยีใหม่ในปัจจุบันของ E-commerce Advertising

วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วิธีการชำระเงินของไทย


วิธีการชําระเงินแบบ E-Commerce ที่นิยมในไทย
  • Counter Service Co.,Ltd. มีบริการตามร้าน 7-11 สามารถรับชำระเงินบัตรเครดิตของธนาคารต่างๆ ชำระค่าสาธารณูปโภคต่างๆ ตลอดจนชำระค่าบริการมือถือ แบบจดทะเบียน
  • Mobile Payment (M-Pay) ASIA M-Pay นวัตกรรมใหม่ในการชำระเงินผ่านมือถือ ของธนาคารเอเชีย นับเป็นธนาคารแรกที่สามารถรับชำระเงินผ่านเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้
  • Credit Card (บัตรเครดิต) เป็นวิธีที่นิยมใช้กันทั่วไปในทำ E-Commerce แบบ Business to Consumer เนื่องจากมูลค่าของการซื้อ-ขายไม่สูงนัก ผู้ขาย หรือ ร้านค้าจะป้องกันการโจรกรรมข้อมูลบัตรเครดิตและข้อมูลอื่นๆได้ ด้วยการใช้กลไกป้องกันแบบ Secure Socket Layer (SSL) หรือ Secure Electronic Transactions (SET)
  • EDI Payment เป็นรูปแบบของการชำระเงินทางการค้าระหว่างประเทศบนแบบฟอร์มอิเล็คทรอนิกส์มาตรฐาน ซึ่งจะระบุรายละเอียดข้อมูลที่เกี่ยวกับการชำระเงินเป็นการเฉพาะ เช่น การชำระเงินแบบ Letter of Credit (L/C) ระหว่างองค์กรต่อองค์กร โดยรูปแบบการชำระเงินนี้ต้องอาศัยบริษัทที่สามให้การรับรอง และ ให้บริการให้ด้านความปลอดภัย
  • ระบบโอนเงินรายใหญ่ (BAHTNET) เป็นเครือข่ายอีเล็กทรอนิกส์ระหว่างสถาบันการเงินที่สร้างขึ้นโดย ธปท. สามารถส่งผ่านข้อมูลระหว่างสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิก โดยเน้นธุรกรรมขนาดใหญ่ผ่านเครือข่าย VPN ที่เชื่อมอยู่กับ Terminal ที่เคาน์เตอร์ของธ.พาณิชย์ โดยเป็นวิธีชำระเงินแบบมีผลทันที (Real Time Gross Settlement ; RTGS)
  • ระบบโอนเงินรายย่อย (Media Clearing) เป็นเครือข่ายอีเล็กทรอนิกส์แบบ BAHTNET แต่มีธุรกรรมไม่เกิน 500,000 บาทต่อวัน และไม่เป็น RTGS ต้องรอรวบรวมธุรกรรมไว้จนหมดสิ้นวัน จึงส่งข้อมูลเข้าชำระบัญชีระหว่างธนาคารที่ BOT (Batching Process) วันละ 1 ครั้ง ในรูปของไฟล์อีเล็กทรอนิกส์ ผู้รับโอนเงินจะได้รับเงินในวันรุ่งชึ้น
  • ระบบแสดงใบเรียกเก็บเงินและชำระเงิน (eBPP) เป็นระบบการแสดงใบเรียกเก็บเงินหรือใบแจ้งหนี้อีเล็กทรอนิกส์ขององค์กรที่มีฐานลูกค้าจำนวนมาก ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกชำระเงินด้วยบัตรเครดิตหรือตัดผ่านบัญชีธนาคารก็ได้ เช่น การให้บริการแจ้งหนี้ค่าโทรศัพท์ ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ปัจจุบันมีผู้ให้บริการอยู่รายเดียว เนื่องจากยังไม่เป็นที่นิยมแพร่หลายเพราะความไม่สะดวกในการทำสัญญาระหว่างลูกค้าผู้ใช้บริการกับเจ้าของบริษัทและการยกเลิก
  • ธนาคารอินเตอร์เนต (Internet Banking)เป็นการเพิ่มความสะดวกในการชำระเงินแก่ลูกค้าผ่านเครือข่ายอินเตอร์เนตและไม่ต้องใช่สมุดคู่ฝาก เช่น การดูยอดเงินในบัญชี การโอนระหว่างบัญชีออมทรัพย์กับกระแสรายวัน การชำระค่าสาธารณูปโภคผ่านเครือข่ายอินเตอร์เนตด้วยระบบหักบัญชีด้วยตนเอง
  • ระบบหักบัญชีอัตโนมัติ (Direct Debit/Direct Credit)1.ระบบ Direct Debit คือระบบที่เจ้าของบัญชีจะอนุญาตให้ธนาคารหักเงินออกจากบัญชีเพื่อชำระค่าบริการตามที่ระบุไว้ล่วงหน้าได้ เช่นการชำระค่าสาธารณูปโภค จากหลายๆ บัญชี (Many to One)2.ระบบ Direct Credit คือระบบที่เจ้าของบัญชีอนุญาตให้ธนาคารหักเงินออกจากบัญชีของตนเข้าสู่หลายๆบัญชีได้ เช่น การโอนเงินเข้าบัญชีเงินเดือนพนักงาน (One to Many)
  • ระบบโอนเงิน EDI (Financial EDI ; FEDI) เป็นมาตรฐานรูปแบบข้อมูลทางการค้าที่ได้รับความนิยมมาก เช่น การส่งใบเสนอราคา คำสั่งซื้อหรือใบส่งของ เอกสารนำเข้าสินค้า ส่งออกสินค้า ซึ่งมักทำกันในองค์กรขนาดใหญ่ เช่น กรมศุลกากร แต่ต้องมีการพัฒนาองค์กรกลางในการเชื่อมต่อเครือข่ายที่เรียกว่า VAN (Value Added Network) ซึ่งภายใต้ข้อตกลงของกลุ่มประเทศ APEC จะต้องพัฒนา EDI ให้เสร็จสิ้นภายใน 2548 – 2553
    การชำระเงิน EDI เป็นระบบปิด เป็นเครือข่ายเฉพาะองค์กร (VPN) โดยผู้ให้บริการ (Service Provider) บริการเชื่อมต่อระบบชำระเงิน (Payment Gateway) จึงมีความปลอดภัยสูงกว่าอินเตอร์เนต เพราะใช้ระบบ PKI (Public Key Infrastructure) ซึ่งเป็นเทคนิคทาง Cryptographic ทั้งนี้ผู้โอนเงินและผู้รับโอนจะต้องมี CA รับรองทั้งคู่ก่อน ผู้ให้บริการจึงจะสามารถสร้างรหัสกุญแจลับให้ได้ จากนั้นจึงจะดำเนินการส่งข้อความข่าวสารในการโอนเงินผ่านเครือข่ายส่วนบุคคลด้วยระบบ e-Mail ธรรมดา (Simple Mail Transfer Protocol ; SMTP)
  • ระบบโอนเงินรายย่อย (Online Retail Fund Transfer) ORFT พัฒนาโดยสมาคมธนาคารไทย สามารถโอนเงินผ่านเครื่อง ATM ได้ ภายใต้ข้อจำกัดการโอน คือ ครั้งละไม่เกิน 20,000 บาท และวันละไม่เกิน 100,000 บาท ซึ่งมีความปลอดภัยเพราะใช้ผู้ให้บริการเครือข่ายส่วนบุคคล คือ บ. PCC โดยมีธนาคารกรุงเทพฯ เป็นธนาคารกลางในการรับชำระเงินส่วนต่าง
  • บัตรเดบิต (Debit Card) เป็นส่วนผสมระหว่างบัตร ATM กับบัตรเครดิต ต่างกันที่บัตรเดบิตต้องมีเงินสดในธนาคารก่อนจึงจะใช้ชำระค่าสินค้าได้ ปัจจุบันวงการพาณิชย์อีเล็กทรอนิกส์ยอมรับการใช้บัตรเดบิตมากขึ้น เพราะปลอดภัย แต่ร้านค้าต้องมีระบบการรับชำระเงินจากทุกๆธนาคารด้วย จึงทำให้มีต้นทุนการดำเนินงานค่อนข้างสูง
  • ระบบโอนเงินผ่านที่ทำการไปรษณีย์ ที่ทำการไปรษณีย์มีอยู่มากกว่า 1200 แห่งทั่วประเทศ บวกกับที่ทำการไปรษณีย์รับอนุญาตอีกกว่า 900 แห่ง จึงสามารถให้บริการรับชำระเงินได้อย่างกว้างขวาง
    1.วิธีการธนาณัติ เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมเพราะขึ้นเงินได้ทุกสาขาไปรษณีย์ ซึ่งมีความน่าเชื่อถือเทียบเท่ากับเช็ค ผู้ที่ถูกระบุชื่อในธนาณัติเท่านั้นจึงจะขึ้นเงินได้ และใม่สามารถเปลี่ยนมือได้จึงเสมือนหนึ่งเป็นเช็คขีดคร่อมเข้าบัญชี
    2.การส่งโทรเลขด้วยเครือข่ายไปรษณีย์ (Message-switching Center) เป็นโทรเลขรูปแบบไฟล์อีเล็กทรอนิกส์ที่สามารถใช้ขึ้นเงินแทนธนาณัติ
    3. (Pay at Post) อีกมิติหนึ่งของการชำระเงินค่าสาธารณูปโภคต่างๆ ที่สามารถรับชำระเงินผ่านที่ทำการไปรษณีย์ได้ ภายใต้ชื่อบริการ “Pay@Postโดยรับชำระเงินให้กับลูกค้าของไปรษณีย์ซึ่งจะต้องเปิดบัญชีกับ ธ.กรุงไทย
  • ระบบโอนเงินระหว่างประเทศ SWIFT
    (Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication ; SWIFT) เป็นคำสั่งโอนเงินผ่านเครือข่ายสากลที่เรียกว่า SWIFT ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของกลุ่มสถาบันการเงินเพื่อสร้างเครือข่ายการรับส่งข้อมูลทางการเงิน
    โดยปกติธนาคารพาณิชย์ไทย มักเปิดบัญชีกับธนาคารในต่างประเทศอยู่แล้ว เรียกว่า VOSTRO ส่วนใหญ่ VOSTRO คือ ธนาคารซิตี้แบงก์ใน NewYork เพราะกว้างขวาง ครอบคลุมทั่วโลก
  • ระบบโอนเงินระหว่างประเทศ Western Union เป็นระบบโอนเงินระหว่างประเทศอีกระบบแต่ดำเนินงานโดยบริษัท Western Union Financial Services ในสหรัฐอเมริกา โดยปัจจุบันมีสาขาของ Western Union ไม่ต่ำกว่า 117,00 แห่งทั่วโลก
    วิธีการ คือ ผู้ที่ประสงค์จะชำระเงินค่าสินค้าหรือโอนเงินจากต่างประเทศเข้าประเทศไทยหรือซื้อสินค้าจากต่างประเทศ เพียงนำเงินสดพร้อมค่าธรรมเนียมโอนเงิน ไปที่สาขาของ Western Union กรอกแบบฟอร์มและระบุผู้รับเงินปลายทาง Western Union ในประเทศปลายทางจะทำการติดต่อผู้รับเงินให้ โดยไม่จำเป็นต้องเปิดบัญชีธนาคาร วงการพนันทางอีเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่นิยมใช้ช่องทางนี้ในการชำระเงินหรือเรียกเก็บเงิน
วิธีชำระเงินค่าบริการออนไลน์ผ่านบัตรเครดิต (PayPal)
ขั้นตอนชำระเงินออนไลน์ผ่านบัตรเครดิต
1. ภาพข้างล่างนี้คือ "ใบแจ้งค่าใช้บริการ" จะแสดงให้ท่านเห็นเมื่อท่านทำการสั่งซื้อสินค้าจนถึงขั้นตอนสุดท้ายคือ "เลือกวิธีชำระเงิน" ในส่วนของใบแจ้งค่าใช้บริการจะแสดงข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับการสั่งซื้อสินค้าและบริการที่ท่านได้ทำการรายการไว้ ให้ท่านทำการตรวจสอบรายการสั่งซื้อสิ้นค้าของท่านให้แน่ใจก่อนทำการชำระค่าบริการหลังจากตรวจสอบว่ารายการสั่งซื้อถูกต้องแล้ว ทำการเลือกวิธีการชำระเงินด้วยการ "ชำระเงินออนไลน์ผ่านบัตรเครดิต (PayPal)" ที่อยู่ด้านบนขวามือ แล้วคลิกปุ่ม "PayPal Check Out" สีส้ม เพื่อดำเนินการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตผ่านระบบ Paypal ต่อไป
2. หลังจากคลิกปุ่ม "PayPal Check Out" แล้ว จะแสดงหน้าระบบการชำระเงินของ PayPal ซึ่งจะมีข้อมูลเลขที่ใบแจ้งชำระเงินและจำนวนเงินที่ต้องชำระค่าบริการ แสดงอยู่ด้านบนของหน้าเว็บ ดังภาพข้างล่าง สำหรับท่านที่ไม่มีบัญชีของ PayPal สามารถชำระเงินได้โดยตรงกับบัตรเครดิตของท่าน โดยคลิกที่ลิงค์ที่ชื่อว่า "ดำเนินการต่อ" (ส่วนท่านที่มีบัญชีของ PayPal อยู่แล้ว สามารถทำการล็อกอินเข้าสู่ระบบ PayPal ได้ทันที่ตรงหัวข้อ "เข้าสู่ระบบ PayPal" เพื่อดำเนินชำระเงินตามขั้นตอนต่อไป)
3. พอคลิกลิงค์ "ดำเนินการต่อ" แล้ว จะมีหน้าแบบฟอร์มให้ใส่ข้อมูลเกี่ยวกับข้อมูลบัตรเครดิตที่ต้องการใช้ในการชำระเงินค่าบริการ และข้อมูลชื่อ ที่อยู่ การติดต่อของเจ้าของบัตรรวมถึงอีเมล์ หลังจากกรอกข้อมูลจนครบและตรวจสอบความถูกต้องแน่นอนแล้ว ให้คลิกปุ่ม "ตรวจดูการสั่งซื้อสินค้าและดำเนินการต่อ"หลังจากนั้นท่านก็ดำเนินการต่อไป ตามคำแนะนำของระบบจนการดำเนินการชำระเงินผ่านระบบ PayPal เสร็จเรียบร้อย
วิธีชำระเงินค่าบริการผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส (Counter Service)
ขั้นตอนชำระเงินค่าบริการผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส
1. ภาพข้างล่างนี้คือ "ใบแจ้งค่าใช้บริการ" จะแสดงให้ท่านเห็นเมื่อท่านทำการสั่งซื้อสินค้าจนถึงขั้นตอนสุดท้ายคือ "เลือกวิธีชำระเงิน" ในส่วนของใบแจ้งค่าใช้บริการจะแสดงข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับการสั่งซื้อสินค้าและบริการที่ท่านได้ทำการรายการไว้ ให้ท่านทำการตรวจสอบรายการสั่งซื้อสิ้นค้าของท่านให้แน่ใจก่อนทำการชำระค่าบริการหลังจากตรวจสอบว่ารายการสั่งซื้อถูกต้องแล้ว ทำการเลือกวิธีการชำระเงินด้วยการ " ชำระเงินผ่าน เคาน์เตอร์ เซอร์วิส (7-eleven) " ที่อยู่ด้านบนขวามือ แล้วคลิกปุ่ม "เคาน์เตอร์เซอร์วิส POWERED By PAYSBUY" สีน้ำเงินเทา เพื่อดำเนินการชำระเงินด้วยเคาน์เตอร์เซอร์วิส ต่อไป
2. หลังจากคลิกปุ่ม "เคาน์เตอร์เซอร์วิส POWERED By PAYSBUY " แล้ว ระบบก็จะแสดงช่อง “E-mail” ให้กำหนดชื่ออีเมล์ที่ต้องการรับรายละเอียดในการชำระเงินผ่าน และช่อง “Mobile” ให้ระบุหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือโทรศัพท์มือถือของคุณ เพื่อรับ SMS ข้อความรายละเอียดใช้ในการชำระเงินหลังจากคลิกที่ปุ่ม “OK” ยืนยันข้อมูลแล้ว ระบบก็จะทำการเริ่มประมวลผลรายการโดยการแสดงสถานะเป็นภาพเคลื่อนไหวหมุนไปเรื่อยๆ
ขั้นตอนการชำระเงินโดยการโอนเงินผ่านทางธนาคาร
1. เลือกวิธีการชำระเงิน "โอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร"
2. แล้วคลิ๊กที่ปุ่ม "ต่อไป" เพื่อดำเนินการในขั้นตอนต่อไป
3. ตรวจสอบข้อมูลสินค้า วิธีการชำระเงิน และ ข้อมูลในการจัดส่งให้ถูกต้อง แล้ว คลิ๊กที่ปุ่ม "ยืนยันการสั่งซื้อ"
4. หลังจากการสั่งซื้อสินค้า ทางพนักงานบริษัทฯ จะทำการติดต่อกลับเพื่อยืนยันการสั่งซื้อสินค้าของคุณภายใน 24 ชั่วโมง ในช่วงวันและเวลาทำการของบริษัทฯ พร้อมกับตรวจสอบความถูกต้องของยอดที่ต้องชำระและจำนวนสินค้า
5. หลังจากที่คุณทำการโอนเงินเสร็จสิ้นแล้ว กรุณาแจ้งการโอนเงินของคุณเข้ามายังบริษัทฯ ในช่วงเวลาตั้งแต่ 10.00 น. - 17.30 น. ในวันจันทร์ ถึงวันศุกร์ของการทำงานปกติของบริษัทฯ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบยอดการโอนเงินของลูกค้า ทั้งนี้การตรวจสอบยอดเงินของบริษัทฯ จะใช้ระยะเวลาตรวจสอบอย่างน้อย 30 นาที (ถ้าหากคุณไม่ได้ทำการแจ้งการโอนเงินเข้ามา ทางบริษัทฯ จะไม่สามารถดำเนินการในขั้นต่อไปได้)
คุณสามารถแจ้งการชำระเงินได้ 2 วิธี ดังนี้
วิธีที่หนึ่ง - คุณสามารถแจ้งการโอนเงินผ่านทางอีเมล์ โดยตั้งหัวข้ออีเมล์ (Subject) ว่า "ยืนยันการชำระเงิน BaNANA IT" โดยระบุรายละเอียด ดังนี้
·         ชื่อ - นามสกุล
·         เบอร์โทรศัพท์
·         ธนาคารที่โอน
·         หมายเลขการสั่งซื้อ
·         จำนวนเงินที่โอน
·         วันที่โอน
·         เวลาที่โอน
·         พร้อมกับแนบหลักฐานการชำระเงิน ใบ Pay In หรือ สลิปการโอนเงิน ในรูปแบบของนามสกุล PDF หรือ JPEG เท่านั้น
ส่งรายละเอียดข้อมูลทั้งหมดมายัง admin@bigitshop.com เมื่อเจ้าหน้าที่ได้รับข้อมูลทั้งหมด และทำการตรวจสอบข้อมูลเรียบร้อยแล้ว จะโทรศัพท์ยืนยันการสั่งซื้อสินค้าในขั้นตอนถัดไป
วิธีที่สอง - คุณสามารถแฟกซ์ข้อมูลตามที่ระบุไว้ในวิธีที่สองพร้อมกับใบ Pay In หรือ สลิปการโอนเงิน มาที่เบอร์แฟกซ์ 02-656-6904 พร้อมระบุหมายเหตุ "ยืนยันการชำระเงิน BaNANA IT" หรือ สแกนแล้วส่งอีเมล์มาที่ admin@bigitshop.com
6. เมื่อทางเราตรวจสอบการรับชำระเงินอย่างถูกต้องสมบูรณ์แล้ว จะดำเนินการจัดส่งสินค้าในขั้นต่อไป
การชำระเงินผ่านไปรษณีย์
เมื่อทำรายการสั่งซื้อสินค้า ผ่านเว็บไซต์ Post e Mart ของ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด แล้วท่านสามารถเลือก
ชำระเงินได้ 2 วิธี คือ
1. ชำระเงินผ่านบัตรเครดิต
ท่านสามารถดำเนินการตามขั้นตอนในเว็บไซต์ที่ปรากฏ หลังจากนั้นมีระยะเวลาในการยืนยันอนุมัตตัดเงิน
จากธนาคาร ประมาณ 3-5วันทำการ (กรณีนี้ต้องชำระสินค้าอย่างต่ำ 500 บาท ขึ้นไป)
2. ชำระเงินผ่านธนาคารแบบ Bill Payment
วีธีการชำระเงินนี้ เฉพาะใบสั่งซื้อที่ขึ้นต้นด้วย "PO"เท่านั้น (ประเภทสินค้า:ตราไปรษณียากร สิ่งสะสม
และสินค้าไปรษณีย์) หากใบสั่งซื้อของท่านขึ้นต้นด้วย "SO" กรุณาศึกษาที่ click (ประเภทสินค้า:อร่อยทั่วไทย
และสินค้าเบ็ดเตล็ด)